คลีนิคหมอดูสุขภาพจิต คลีนิคสุขภาพจิต
จิตเวช สระบุรี
สมชาย สำราญเวชพร จิตเวช สระบุรี
หมอดูสุขภาพจิต หนังสือสุขภาพจิต สมชาย สุขภาพจิต หมอดู สระบุรี ถามตอบสุขภาพจิต หมอสมชาย สำราญเวชพร
นายแพทย์สมชาย สำราญเวชพร
นายแพทย์สมชาย สำราญเวชพร
ปัญหาสุขภาพจิต
 
สั่งซื้อหนังสือ
หนังสือสุขภาพจิต
ศูนย์ประสานงานเฉพาะกิจเพื่อการขับเคลื่อน

ศูนย์ประสานงานเฉพาะกิจเพื่อการขับเคลื่อน

สหกิจคริสเตียนแห่งประเทศไทย

หายไปไหน?

                                                                                        

                สมัยที่ผมเป็นวัยรุ่นอยู่ ได้ไปสมัครเป็นกระเป๋ารถเมล์

            สาย ๔๓ วิ่งระหว่างบางขุนเทียนกับสนามหลวง กว่า

            จะได้ใบอนุญาตมาก็ลำบากลำบนพอสมควร นอกจาก

            นั้นยังต้องมาฝึกหัดเก็บสตางค์ และซ้อมกระโดดลงจากรถ

            เมล์อย่างไรจะไม่ให้กลิ้งโค่โร่ แต่สิ่งหนึ่งที่จำได้ไม่ลืมคือ

            เจ้าหน้าที่กรมฯได้ย้ำนักย้ำหนากับผู้เข้ารับการอบรมว่า

            “หน้าที่ของรถเมล์ก็คือขนแล้วก็ส่ง จะขนคนอย่างเดียว

            ไม่ได้ ต้องส่งผู้โดยสารเหล่านั้นถึงจุดหมายปลายทางด้วย!

 

                ก็ให้คิดถึงเรื่อง “ศูนย์ประสานงานเฉพาะกิจเพื่อการขับเคลื่อนสหกิจคริสเตียนแห่งประเทศไทย” ที่เป็นข่าวฮือฮาทางเว็บไซต์ อีเมลและเฟซบุ๊ค ซึ่งได้ก่อตั้งขึ้นคณะบุคคลกลุ่มหนึ่งที่รักพระเจ้า ซึ่งมีเป้าหมาย “เพื่อให้เกิดการปรองดอง ยุติปัญหา และขับเคลื่อนพันธกิจของ สคท.ให้ก้าวหน้าต่อไป”

                อันประกอบด้วยบุคคลสำคัญดังต่อไปนี้ 

                (๑) ศจ. สังเวียน ตวงคำ (๒) ศจ.กำพล คำดี (๓) ศจ. เฮนรี่  เยียว (๔) ศจ.ชูชาติ ไชยสมบัติ (๕) ศจ.กิตติพงษ์ ปัญญาทวีทรัพย์ (๖) ศจ.ดร.ณรงค์ ทองสุข  ท่านเหล่านี้ได้รวมตัวกันเข้าด้วยความมุ่งมาดปรารถนาดี เพื่อคลี่คลายสถานการณ์อันเลวร้ายที่เกิดขึ้น แก้ภาพพจน์เสียใหม่ต่อสายตาของพี่น้องคริสเตียนและเพื่อนๆชาวโลกที่ต่างเฝ้ามองด้วยความสนใจยิ่ง

                สมาชิกของ สคท. อันมีองค์กรคริสตจักร องค์การทั้งในและต่างประเทศ สถาบันการศึกษาพระคริสตธรรม และมิชชันนารีทั้งหลายนับพันๆคน ต่างตั้งตารอคอยและมีความเชื่อในเบื้องต้นว่า บุคคลเหล่านี้แหละคือกาวใจที่จะเชื่อมทุกฝ่ายเข้าด้วยกัน หรือเป็นอัศวินม้าขาวที่จะควบอาชาไนยมาอย่างเร็วรี่เพื่อจะเปิดฝาอุโมงค์อันมืดทึบและเหม็นเน่า ให้แสงสว่างแห่งความหวังและความยุติธรรมส่องรอดเข้ามาใน สคท. อันเป็นที่รักยิ่งของเรา

                จะขอเรียกสั้นๆว่า “คณะกรรมการเพื่อการขับเคลื่อน สคท.” ก็แล้วกันนะครับ เพราะจำง่ายดี!

                ดังที่ได้ทราบกันแล้ว ในช่วงต้นเดือนมีนาคม ๒๐๑๒ คณะกรรมการฯชุดนี้ได้ทำการประสานสัมพันธ์ไปยังกรรมการ สคท.ทั้งสองฝ่ายคือฝ่ายของ ศจ.ดร. ปรีชา เจ็งเจริญ กับ ศจ.ดร. สุชาติ พลอยวงศ์ และกับฝ่ายที่เข้ายึดอำนาจโดยพละการและนั่งบัญชาการในสำนักงานแถวถนนรามคำแหง

                เข้าใจตรงกันว่า คณะกรรมการ “ขับเคลื่อน สคท.” ชุดนี้ ทุกคนต่างมีความเห็นไปในทางเดียวกันว่า มีหนทางเดียวเท่านั้นสำหรับสหกิจคริสเตียนแห่งประเทศไทยของเรา ที่จะเดินหน้าต่อไปได้ คือหันหน้าเข้าหากัน “ปรองดอง” และคืนดีกันตามคำสอนแห่งพระวจนะของพระเจ้า

                ไม่เพียงแต่เป็นหวังอันสูงสุดของสมาชิกในสหกิจคริสเตียนฯเท่านั้น แต่ฝ่ายบ้านเมืองที่รับรองความเป็นองค์การของ สคท.ก็อยากจะเห็นภาพของการสมานฉันท์เกิดขึ้นด้วย เพื่อให้ทุกคนทุกฝ่ายที่มีความเห็นขัดแย้งกันนั้น กลับมาทำงานด้วยกันเหมือนเดิมอีก จนกว่าจะครบวาระ ๔ ปีตามธรรมนูญการปกครองของ สคท. กำหนดไว้ และจึงจะมีการประชุมใหญ่และเลือกตั้งคณะกรรมการกันใหม่

                ดังนั้น ด้วยความเพียรพยายามอย่างเต็มที่ของคณะกรรมการปรองดอง สคท. เราจึงเห็นภาพของคู่กรณี(คือ ศจ.ดร.ปรีชา และ ศจ.ดร.สุชาติ) ต่างยืนจับมือกันต่อหน้าสักขีพยานหลายคน เป็นสัญญาประชาคมว่า ทั้งสองฝ่ายจะกลับมารับใช้พระเจ้าร่วมกันเหมือนเดิมอีก

                ซึ่งเป็นภาพที่ขึ้นหราทางหน้าเว็บไซต์ ดังที่พี่น้องทุกท่านได้เห็นกันนั้นแล้ว!  

                แต่ไหงไปๆมาๆ ที่บ้านผู้หว่าน จ.นครปฐมนั้นเอง กลายเป็นว่าได้มีการเลือกตั้งคณะกรรมการอำนวยการ สคท.ขึ้นมาใหม่อีกชุดหนึ่ง ซึ่ง ศจ.ดร.วีรชัย โกแวร์ได้ก้าวขึ้นมากินตำแหน่งประธาน สคท. และมีกรรมการทั้งหน้าเดิมและหน้าใหม่สลอน หลังจากนั้น ประธานฯคนเดิมก็มีหนังสือแจ้งเรื่องไปให้ทางฝ่ายบ้านเมืองที่รับผิดชอบทางศาสนาได้รับทราบ

                ทางโน้นเขาก็เป็นคนตรงไปตรงมาคำนึงถึงหลักที่สำคัญ และยึดถือตามธรรมนูญของ สคท. เป็นหลัก จึงเกิดคำถามขึ้นว่า ท่าน ศจ.ดร.ปรีชา เจ็งเจริญได้เอาอำนาจอะไรไปแต่งตั้งประธานฯคนใหม่ ก็ในเมื่อธรรมนูญระบุว่า ท่านปรีชามีวาระการดำรงตำแหน่งเป็นประธานฯเป็นเวลา ๔ ปี ท่านก็จะต้องอยู่ต่อจนครบวาระ

                แต่ถ้าท่านลาออก นั่นก็หมายความว่า คณะกรรมการ สคท.(ชุดที่ได้รับการเลือกตั้งที่ระยอง)ก็ยังดำเนินการต่อ และพิจารณาว่าจะมีการเลือกตั้งประธานฯคนใหม่หรือไม่ หรือว่างเว้นไว้จนกว่าจะครบวาระ หรือจะให้รองประธานฯขึ้นมาทำหน้าที่แทน แต่ที่สำคัญคือ ท่านปรีชาไม่มีสิทธิ์แต่งตั้งคนหนึ่งคนใดขึ้นมาเป็นประธานฯแทนตนเอง

                ทีนี้กลับมาคณะกรรมการ “เพื่อ ที่ได้การขับเคลื่อนสหกิจ สคท.” ที่กล่าวถึงตั้งแต่ต้น ทว่า ณ เวลานี้กลับหายเข้ากลีบเมฆไปเลย เงียบยิ่งกว่าเป่าสากเสียอีก มีคนถามว่า หน้าที่ของคณะกรรมการชุดนี้มาถึงจุดแค่ให้คนสองคนยืนจับมือกันและถ่ายรูปเท่านั้นหรือ?  เมื่อผู้คนเห็นภาพแล้วใจชื้นและทุกอย่างลงเอยแล้วหรือ?

                แล้วก็ถือว่าท่านได้ทำหน้าที่สำเร็จแล้วกระนั้นหรือ?

                เพราะพวกท่านได้ให้คำสัญญาไว้ถึง ๓ ประการ คือ  (๑) เพื่อให้เกิดการปรองดอง - ตรงนี้ปรองดองกันอย่างแท้จริงแล้วหรือยัง? (๒) เพื่อยุติปัญหา  - ความจริงคือ ณ ตอนนี้ปัญหาก็ยังคาราคาซังอยู่ ยังไม่ได้แก้ไขให้ลุล่วงไปเลย แก้ไขปัญหาแล้วจริงหรือ

(๓) ขับเคลื่อนพันธกิจของ สคท. ให้ก้าวหน้าต่อไป – เรื่องนี้ไม่ต้องบอกทุกคนก็รู้ว่า สหกิจคริสเตียนฯอันเป็นที่รักของเรายังไม่ก้าวไม่พ้นหล่มปลักเลย  แล้วมันจะก้าวหน้าต่อไปได้อย่างไร?  

                มิใช่เพราะท่านหลงกลของพวกเสือสิงห์กระทิงแรดทั้งหลายดอกหรือ?  จากน้ำเสียงที่ยืนยันอย่างเด็ดเดี่ยวของพวกท่านว่า ภารกิจนี้จะต้องจบลงอย่างสวยงาม พี่น้องทั้งสองฝ่ายจะกล่าวขอโทษขอโพยกัน แล้วกลับมายังจุดเริ่มต้น และจับมือกันร่วมทำงานรับใช้พระเจ้าด้วยกันเหมือนเดิมอีก จะไม่มีการประชุมใดๆ ไม่ว่าจะเป็นประชุมใหญ่หรือประชุมวิสามัญ นอกจากในอีกสองปีข้างหน้าโน้น

                แต่พวกท่านถูกความเก๋าของกลุ่มอำนาจเก่าดัดหลังเอา(จนแอ่น) และต้องกลับไปนั่งกุมขมับ เงียบกริบ และเรียกหาปี๊บคนละใบครึ่งใบหรือ?      

                บางคนรู้สึกผิดหวังอย่างรุนแรงที่กรรมการฯบางท่านมีพฤติกรรมเป็นนกสองหัว หรือที่พระเยซูเรียกว่า “ข้าสองเจ้าบ่าวสองนาย” และเป็นสายลับ ทำตัวเหยียบเรือสองแคมและเป็นไส้ศึก พร้อมเสมอที่จะถีบหัวส่งฝ่ายที่เพลี่ยงพล้ำเพื่อตนเองจะได้ก้าวขึ้นวออย่างไร้ศักดิ์ศรี

                คณะกรรมการเพื่อการขับเคลื่อน สคท.ที่รัก

                อย่ามัวเข้าเงียบอยู่เลยครับ ขอช่วยเอาจริงและดำเนินการให้จนบรรลุถึงความสำเร็จ

                อย่าเป็นเหมือนที่คนทางภาคเหนือเรียกว่าพวก “อบต.” (คือ เอาบ่แต๊!) ท่าดีทีเหลวทำนองนั้น

                เรื่องมันยังไม่จบครับ!

                การจับมือกันและถ่ายรูปต่อหน้าสักขีพยานนั้น เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น 

                ขอให้ท่านออกมาแสดงความรับผิดชอบสานต่อภารกิจการคืนดีให้สำเร็จครบถ้วนเถิด

            “จงบอกอารคิปปัสว่า  การรับใช้ที่ท่านรับทำให้องค์พระผู้เป็นเจ้านั้น จงระวัง กระทำให้สำเร็จ”(คส. ๔.๑๗)

                พวกเราจะรอจนกว่าจะถึงวันนั้น. 

 
Copy All Right Reserved 2013 www.หมอดูสุขภาพจิต.com
เลขที่ 1/26 ถ.สุดบรรทัด13 ต.ปากเพรียว อ.เมือง จ.สระบุรี 18120