คลีนิคหมอดูสุขภาพจิต คลีนิคสุขภาพจิต
จิตเวช สระบุรี
สมชาย สำราญเวชพร จิตเวช สระบุรี
หมอดูสุขภาพจิต หนังสือสุขภาพจิต สมชาย สุขภาพจิต หมอดู สระบุรี ถามตอบสุขภาพจิต หมอสมชาย สำราญเวชพร
นายแพทย์สมชาย สำราญเวชพร
นายแพทย์สมชาย สำราญเวชพร
ปัญหาสุขภาพจิต
สาระน่ารู สุขภาพจิต
โรคสมองเสื่อม (Dementia)
โรคนอนไม่หลับ (Insomnia)
การฆ่าตัวตาย (Suicide)
สุขภาพจิตน่ารู้
 
สั่งซื้อหนังสือ
หนังสือสุขภาพจิต
Head_3.jpg
โรงแรมผีสิง

ในหนึ่งสัปดาห์ ผมมีวันที่ต้องออกตรวจ โอ.พี.ดี. จิตเวช ครบทั้ง 5 วัน โดยมี 2 ใน 5 วันที่ผมจะรับตรวจผู้ป่วยเก่าที่นัดหมายมาเพื่อติดตามอาการและผลการรักษา นอกเหนือจากการรับผู้ป่วยใหม่ที่มีมาให้ตรวจทุกๆ วัน และเมื่อถึงเวลาเที่ยงวัน ผมมักจะเดินลงมาทานอาหารที่ห้องอาหารของโรงพยาบาลเสมอ มันเป็นห้องอาหารที่คนทั่วไปรวมถึงผู้มารับบริการอื่นๆ ก็สามารถซื้อหาอาหารได้ ที่ข้างๆ โรงอาหารนี้เอง ยังมีตลาดนัดขนาดย่อมๆ เมื่อผมจัดการกับอาหารมื้อเที่ยงจนอิ่มหนำ ผมจึงเดินย่อยอาหารด้วยการไปเยี่ยมชมตลาดนัดสินค้าแห่งนี้ ซึ่งมีทั้งเสื้อผ้า ขนม ของเล่นรวมถึงแผ่นวีซีดีที่ผมชื่นชอบ

เมื่อผมได้คุ้ยค้นในกะบะสินค้าที่เต็มไปด้วยแผ่นวีซีดีหนังทั้งใหม่และเก่า ก็พบเข้ากับหนังแผ่นเรื่องโรงแรมผีสิง ทันทีที่เห็น ความคิดของผมก็แว้บขึ้นมา มันช่างประจวบเหมาะอะไรเช่นนี้ มันทำให้ผมนึกถึงผู้ป่วยของผมรายหนึ่งที่ผมเพิ่งตรวจผ่านไปเมื่อเช้านี้เอง เขาเป็นชายไทยวัยฉกรรจ์ อายุ 25 ปี ผมนัดให้เขามาพบเพื่อติดตามผลการรักษาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นครั้งที่ 2 แล้ว หรือประมาณ 2 เดือนให้หลังนับจากวันที่เขาออก ร.พ. ไปแล้ว หากย้อนหลังไปในวันที่เขาเข้ามารับการรักษาตัวเป็นผู้ป่วยนอนในโรงพยาบาล ก็นับว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตของเขาที่เขาต้องเจ็บป่วยอย่างหนัก ..

เมื่อ 2 เดือนที่แล้ว ญาติๆ ได้นำตัวเขาส่ง ร.พ. เขาจึงเป็นผู้ป่วยใหม่ของโรงพยาบาล แพทย์ที่แผนกฉุกเฉินนอกเวลาได้รับตัวเขาไว้เพื่อนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล ด้วยอาการเอะอะอาละวาด มีท่าทางสับสน พูดจาวกวน ฟังไม่รู้เรื่อง และเขาอาจเป็นอันตรายได้ โดยก่อนหน้านั้นเพียง 1 วัน เขาได้ขับรถยนต์ออกจากบ้านไปในตอนหัวค่ำ และในเช้าวันต่อมา ก็มีคนพบเห็นเขาอีกทีในรถยนต์คันดังกล่าวที่จอดอยู่ในสภาพฝากระโปรงหน้าพังยับเยินเพราะชนเข้ากับต้นไม้ข้างถนน ไม่ไกลจากหมู่บ้านที่เขาอาศัยอยู่ โดยมีเขาสลบไสลอยู่ภายในรถยนต์

เขาถูกนำตัวออกมาจากรถยนต์ในสภาพคนหลับ ก็ไม่พบว่ามีบาดแผลใดๆ ตามร่างกาย เขาถูกนำตัวกลับบ้าน เขาตื่นขึ้นมาอีกทีในเย็นวันนั้นเอง เมื่อเขารู้สึกตัว เขาก็แสดงอาการความผิดปกติอย่างมากมายจนญาติๆ ต้องช่วยกันนำส่งโรงพยาบาลทันที

ญาติยังให้ประวัติเพิ่มเติมอีกว่า ที่เขาตัดสินใจหนีออกจากบ้านในเย็นวันนั้น คงเป็นเพราะเขาโต้เถียงกับพ่ออย่างรุนแรง กระทั่งเขาไม่พอใจพ่อและระเบิดอารมณ์ใส่พ่ออย่างไม่เหมาะสม ซึ่งเขาไม่เคยมีพฤติกรรมเช่นนี้มาก่อน อย่างไรก็ดีพ่อของเขายืนยันว่าได้สังเกตพบความผิดปกติมาก่อนหน้านั้นแล้ว 2 วัน ซึ่งน่าจะมีสาเหตุมาจากการที่แฟนสาวบอกเลิกกับเขามากกว่า

สำหรับผมเองยังตั้งคำถามอยู่ในสมองว่าเขามีความผิดปกติเกิดขึ้นก่อน จึงทำให้เกิดการทะเลาะวิวาทถึงขั้นแยกทางกับแฟนสาว หรือเขาแยกทางกับแฟนสาวก่อนแล้วจึงเครียดกระทั่งมีความผิดปกติเกิดขึ้นตามมา อย่างไหนเกิดขึ้นก่อนกัน? ซึ่งผู้ให้ประวัติก็ไม่สามารถยืนยันได้ แต่ที่แน่ๆ ก็คือ เขามีความผิดปกติอย่างเฉียบพลันในเวลาเพียงไม่กี่วันเท่านั้นเอง

เมื่อเขานอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล แรกๆ เขายังมีอาการสับสน สื่อสารไม่รู้เรื่อง เอะอะเอ็ดตะโร และจะวิ่งหนีท่าเดียว กระทั่งต้องควบคุมร่างกายด้วยเชือกผ้า เขาไม่ได้ดื่มสุราหรือใช้สารเสพติดอื่นใดมาก่อน เขามีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง และก็ไม่เคยเจ็บป่วยด้วยโรคทางจิตเวชมาก่อนเช่นกัน อีกทั้งก็ไม่มีประวัติทางพันธุกรรมในเรื่องโรคทางจิตเวชต่างๆ ในครอบครัว และอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ก็ไม่น่าที่จะมีผลกระทบกระเทือนต่อสมองที่อธิบายถึงอาการของเขาได้แต่อย่างใด และเมื่อตรวจผลเลือดทางห้องปฏิบัติก็พบว่า เขาอยู่ในเกณฑ์ปกติดี เพียงแต่การที่เขาหลับคาพวงมาลัย น่าจะเกิดขึ้นจากการที่เขาไม่ได้นอนมาตลอดทั้งคืนมากกว่า

ผมรักษาเขาด้วยยาต้านอาการทางจิตในขนาดต่ำๆ ในเวลาเพียงแค่ 3 วัน เขาก็ดีขึ้นมาก เขาสามารถพูดคุยได้ดี มีพฤติกรรมที่เหมาะสม และสีหน้าแจ่มใส ดังนั้นเขาจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องนอนพักรักษาตัวใน ร.พ. ต่อไปอีก ผมจึงให้เขากลับบ้านพร้อมๆ กับจ่ายยาให้กลับไปรับประทานต่ออีก 1 เดือน เพื่อผมจะนัดมาติดตามการรักษา ซึ่งก็คือคราวที่แล้วที่ผมบันทึกไว้ว่าเขามีอาการดีขึ้นมากจนไม่พบความผิดปกติ และมาคราวนี้ ก็เป็นนัดครั้งที่ 2 แล้ว เขายังสามารถกลับไปทำงานได้ตามปกติอีกด้วย

ผมตัดสินใจว่าผมจะลดปริมาณยาลงอีกครึ่งหนึ่ง และบอกเขาว่าผมจะหยุดการรักษาในเวลาอีก 3 เดือนข้างหน้า เพราะผมวินิจฉัยว่าเขามีอาการทางจิตแบบเฉียบพลันที่ใช้เวลาในการรักษาไม่เกิน 6 เดือน และเขาก็น่าจะดีขึ้นจนเป็นปกติแล้ว เขายิ้มให้ผม เขาบอกว่าเขาไม่ได้ทานยาเลยตั้งแต่กลับออกจาก ร.พ. ยาก็ยังอยู่ครบถ้วน เขาเฉลยว่ามันเกิดขึ้นจากการที่เขาไม่กล้าบอกผม เกรงว่าผมจะดุเอา แล้วเขาก็หยิบซองยาทั้งหมดที่เขาไม่ได้ทานนำมาคืนให้ผม ผมถามเขาว่าทำไมคุณถึงไม่ทานยา? เขาหัวเราะใส่หน้าผม เขาบอกว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย แล้วเขาจะทานยาไปทำไม? เขาเพียงแต่เจอผีก็เท่านั้นเอง

ที่จริง ในทัศนะของจิตแพทย์ มักมองผู้ป่วยทางจิตว่านี่คืออาการหูแว่วประสาทหลอนหรือเป็นเพียงอาการหลงผิดเท่านั้น ดังนั้นในเนื้อหาต่างๆ จิตแพทย์จึงมักไม่ค่อยใส่ใจซักถาม เพราะมันไม่ใช่สาระสำคัญในการรักษามากนัก และถึงใครจะหลงผิดแบบไหนๆ หรือหูแว่วในเรื่องอะไร การรักษาก็มักไม่แตกต่างกัน สำหรับเขา ผมตั้งใจจะเปลี่ยนการรักษามาเป็นยาฉีดชนิดที่มีผลการรักษายาวทดแทนยาเม็ดที่เขาไม่ยอมทาน ทั้งนี้เพราะผมคิดว่าเขาน่าจะมีอาการหนักขึ้น อย่างไรก็ตาม ผมเองก็ยังอยู่ในระหว่างการชั่งใจ? หากแต่เขาเองกลับคะยั้นคะยอที่จะเล่าเรื่องผีให้ผมฟัง ผมจึงไม่รู้จะขัดเขาอย่างไรดี

เขาเกริ่น “คุณหมอครับ คืนที่ผมเถียงกับพ่อ ผมเลยขนเสื้อผ้า ของใช้ และขับรถยนต์ออกจากบ้าน ตั้งใจไว้ว่าจะหนีไปให้พ้นๆ สักระยะหนึ่ง แต่ก็ไปเจอะเจอกับผีเข้าจนได้ จนผมตกใจ ก็เลยขับรถชนเข้ากับต้นไม้ สลบไป ผมจำได้ทุกอย่างว่ามีอะไรเกิดขึ้นก่อนที่ผมจะสลบไป” ผมถามเขาบ้าง “ที่คุณพ่อของคุณเล่าให้ผมฟังว่าคุณเครียดเพราะเลิกกับแฟน ก็เลยไม่สบายตั้งแต่นั้นมา คุณพอจะจำได้ไหม?” เขาเถียงทันที “ผมก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลย เรื่องชิวๆ เล็กน้อย แค่เลิกกับแฟนเท่านั้นเอง แต่พ่อทำให้ผมหงุดหงิดมากกว่า เขามาจุ้นจ้าน หาว่าผมไม่เอาไหน มีผู้หญิงดีๆ ก็รักษาไว้ไม่อยู่ พ่อเขาไม่เคยรักษาน้ำใจลูกของเขาเลย ไปเห็นขี้ดีกว่าไส้” เขาชักเริ่มมีน้ำโหเมื่อพูดถึงพ่อ

นี่ก็แสดงว่าเขามีความขัดแย้งกับพ่ออย่างรุนแรง และอาจเป็นชนวนทำให้เกิดภาวะความผิดปกติทางจิตแบบเฉียบพลันก็เป็นไปได้ เพราะความขัดแย้งกับพ่อได้เสริมเติมความเครียดที่ต้องเลิกร้างกับแฟนสาวนั่นเอง ผมจึงค้นหาข้อมูลต่อด้วยการซักถาม “ตั้งแต่ที่คุณสลบไป กระทั่งมาอยู่ ร.พ. คุณเริ่มจำได้เมื่อไหร่?” เขากระอึกกระอักก่อนตอบ “สงสัยจะเป็นวันสุดท้ายที่ผมจะออกจาก ร.พ.”

ผมยังไม่หายสงสัย “แล้ววันที่คุณยังจำไม่ได้ คุณรู้สึกอย่างไร?” เขาคงสงสัยในคำถามของผม ผมเองก็ไม่รู้ว่าถามเขาไปเพื่ออะไรกัน “คือผมนะรู้ตัวเองทุกวัน แต่ช่วงแรกๆ ผมยังกลัวผีอยู่ พอมาวันสุดท้าย ความกลัวก็หายไปแล้ว” พอเขาอธิบายเสร็จ ผมก็เลยถึงบางอ้อ เขาคะยั้นคะยอต่อ “คุณหมอไม่อยากฟังเรื่องผีของผมต่อหรือไง?” ผมพยักหน้า เขาจึงรีบเล่าทันที “คือตอนที่ผมขับรถออกจากบ้าน ผมกะว่าจะหาโรงแรมนอน ก็มาเจอโรงแรมแห่งหนึ่งชื่อโรงแรมชื่นสุข ดูเก่าๆ ผมก็เลยเลี้ยวรถเข้าไปจอด เมื่อผมเดินเข้าไปในตัวโรงแรม ผมเห็นชายคนหนึ่งยืนเก้ๆ กังๆ อยู่หน้าร้อบบี้ ผมก็เลยเข้าไปคุยกับเขา เขาบอกว่าเขาจะมาพักเหมือนกัน เราจึงเดินเข้าไปถามตรงเคาน์เตอร์ต้อนรับด้วยกัน ก็ได้คำตอบว่าเหลือห้องพัดลมอยู่เพียงห้องเดียวเลยไม่รู้จะทำอย่างไร ผมจึงชวนเขานอนร่วมห้องเดียวกันกับผม ช่วยกันแชร์ค่าห้อง เขาก็โอเคนะ”

เขาหยุดถอนหายใจ แล้วเขาก็เล่าต่อ “พอเราเดินเข้าไปในห้อง บ๋อยก็ถือกระเป๋าเข้ามาส่งถึงในห้องเมื่อผมมองหน้าบ๋อย เขาก็ยังละอ่อน แล้วผมก็หันไปมองที่กระจกเงาในห้อง พอดีกับมันสะท้อนภาพของบ๋อย ผมตกใจมาก หน้าตาบ๋อยมันเป็นหน้าผีชัดๆ หน้าตาเละเทะ เนื้อตัวก็มีแต่น้ำเลือดน้ำหนอง ผมขาสั่นไปหมด พูดไม่ออก พอบ๋อยออกไป ผมก็เลยรีบเดินออกไปดูที่นอกประตูห้อง เห็นเมทผู้หญิงอีก 2 คน ยืนอยู่ตรงเสาปูนใกล้ทางเดินลงบันใด ที่เสาปูนมีกระจกเงาติดอยู่รอบเสา ผมเห็นเธอทั้งสองก็เป็นเหมือนกับบ๋อยคนแรก ผมรู้ได้เลยว่านี่มันโรงแรมผีสิงนี่นา” เขาหยุดเล่า และชี้ที่แขนให้ผมดูขนที่ตั้งชันขึ้น เขาเสริม “พอผมพูดขึ้นมาทีไร ขนผมลุกเลยครับหมอ” “เรื่องจริงนะครับ” เขาย้ำอีกครั้ง

ผมชักคล้อยตามไปกับเขา แต่ก็ต้องตั้งสติว่านั่นคงเป็นอาการทางประสาทหลอนของเขาเสียมากกว่า เขาเล่าต่อไป “ผมก็เลยพูดกับเพื่อนที่จะมาพักด้วยกันว่าเราออกไปก่อนดีไหม อย่าเพิ่งถามอะไรเลยนะ แล้วผมก็รีบขนกระเป๋าเดินลิ่วออกมา เขาดึงรั้งแขนผมไว้ เขาถามผมว่าจะไปไหนผมก็บอกเขาว่าอย่าเพิ่งถามได้ไหม ไปที่รถยนต์กันก่อน” “เรารีบเดินออกมาโดยไม่ยอมทักใครๆ ผมไม่กล้าหันไปดูเพราะผมกลัวไปหมด คิดว่าต้องหนี หนีไปก่อน” เขาแสดงสีหน้าท่าทางเข้ากับอารมณ์ของเรื่องที่เขาเล่า ผมขอยกมือขัดจังหวะเขา “คุณแขวนพระอะไรหรือ?” เขามองหน้าผม “คุณหมออย่าเพิ่งชักใบให้เรือเสียสิ ผีมันกลัวพระเสียเมื่อไหร่กัน เพราะพระที่ห้อยคอส่วนใหญ่เป็นของปลอมทั้งนั้น หมอก็รู้ดี” ผมจึงได้แต่อมยิ้ม เขาเล่าต่อไป “ทีนี้พอผมขึ้นรถ เพื่อนที่มาด้วยก็ขึ้นรถ นั่งข้างๆ ผม ผมก็กะว่าเดี๋ยวจะอธิบายให้เขาฟัง แต่ขอออกรถก่อนนะ ตอนถอยหลัง ผมก็มองไปที่กระจกสะท้อนมองหลัง เห็นคนนั่งข้างๆ ผม ตายจริง เขาก็เป็นผีเหมือนกันอีกคน หน้าตาเละเทะดูไม่ได้ ตอนนั้นผมสั่นไปหมด ฉี่กำลังจะแตกราด ผมรู้แล้วว่าเขาก็เป็นผี แล้วเขาเอามือมาจับที่แขนผม เขาพูดกับผมว่า คุณคงไม่อยากให้ผมไปด้วยใช่ไหม?” เขาชี้อาการขนตั้งชันที่แขนทั้งสองของเขาให้ผมดูอีก

ผมยิ้มให้เขา เขาเล่าต่อ “เสียงของเขาใหญ่มาก เย็นๆ พูดช้าๆ ผมว่าผมจะทนไม่ไหวอยู่แล้วเพราะมือของเขาที่จับแขนผม มันเย็นมาก ผมก็เลยผงกหัวให้เขารู้ว่าผมไม่อยากให้เขาไปด้วย อยากให้ลง ขอความกรุณาลงได้แล้ว ตอนนั้นหูตาลายไปหมด กำลังจะเป็นลมอยู่พอดี แป๊ปเดียวเขาก็หายไป ผมรีบปิดประตูรถ ก็เห็นเขายืนอยู่ข้างๆ รถ โบกมือบ๋ายบาย เขาพูดว่าเขามาช่วยผมเพราะครั้งหนึ่งผมเคยช่วยเขาไว้” เขาถอนหายใจ

เมื่อเล่าจบ ผมฟังเรื่องที่เขาเล่า ชักรู้สึกเสียวๆ ขึ้นมาทันที ทั้งนี้ก็เพราะผมรู้จักโรงแรมที่เขาพูดถึงเป็นอย่างดี มันเป็นโรงแรมร้างไปนานมากแล้ว และบริเวณที่เขาเล่ามา มันก็ใช่ เมื่อย้อนหลังไป 10 กว่าปี โรงแรมนี้ยังเปิดใช้งานอยู่ ผมก็เคยเดินผ่านไปในสมัยก่อน จึงรู้จักรูปพรรณสัณฐานดี มันเคยเป็นโรงแรมในเมืองที่ทันสมัย แต่เขาเป็นคนที่อยู่ชานเมืองในอำเภออื่น จึงไม่น่าจะรู้ดีถ้าไม่เคยเข้าไป

ผมฟังเรื่องทั้งหมดของเขาแล้ว ผมไม่ได้ถกเถียงเรื่องผีกับเขา ผมบอกเขาว่าเขาคงไม่ต้องทานยาอะไรก็ได้ ผมล้มเลิกความคิดที่จะให้ยาแก่เขา และผมจำต้องปิดรายงาน ยุติการติดตามผลผู้ป่วยรายนี้ด้วยอาการขนลุกชันขึ้นมาเหมือนๆ กัน

 
Copy All Right Reserved 2013 www.หมอดูสุขภาพจิต.com
เลขที่ 1/26 ถ.สุดบรรทัด13 ต.ปากเพรียว อ.เมือง จ.สระบุรี 18120