เขาว่าหูแว่วเป็นอาการประสาทหลอนประเภทหนึ่งที่พบในผู้ป่วยโรคจิต คือไม่มีเสียงอะไรเลยแต่ผู้ป่วยกลับได้ยินเสียงนั้นๆ เพียงคนเดียว ซึ่งมักเป็นเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับตัวของเขาเอง สำหรับการมองเห็นผ้าขาวม้าที่แขวนไว้ในที่สลัวๆ แล้วจิตนาการเป็นตัวผี หรือกำลังวิ่งอยู่ในป่าแล้วขาไปสะดุดเข้ากับขอนไม้ ก็จินตนาการไปว่าถูกงูกัด เหล่านี้ล้วนเป็นเพราะเขาวิตกกังวลหรือกลัวในเรื่องนั้นๆ อยู่แล้วนั่นเอง
ผมอยากให้ผู้อ่านลองสรุปเรื่องราวของผมดูบ้างนะว่ามันคืออะไร? แต่สำหรับผม คิดว่าเมื่อไหร่ที่เราได้สูญเสียคนรักและเข้าสู่สภาวะความโศกเศร้าเสียใจอย่างรุนแรง ช่วงนี้เองจะเป็นช่วงเวลาที่ทำให้ความสามารถพิเศษๆ ปรากฏออกมา อาทิ สามารถมองเห็นวิญญาณที่ตายไปแล้วได้จริงหรือ?
.. .
ผมได้สูญเสียแม่และพ่อในปีเดียวกัน โดยสูญเสียมาแล้วเกือบ 5 ปี ผมสูญเสียแม่ตอนต้นปีและต้องมาสูญเสียพ่ออีกคนในตอนปลายปีนั้นเอง ช่วงที่ผมสูญเสียแม่ ผมทำงานอยู่คนละจังหวัดกับพ่อแม่และพี่ๆ น้องๆ ดังนั้นในงานสวดพระอภิธรรมศพ 5 คืน ผมจึงต้องขับรถยนต์ข้ามจังหวัดทุกเย็น โดยต้องออกจากที่ทำงานราว 4 โมงเย็นเพื่อไปให้ทันฟังสวดงานศพในตอน 1 ทุ่ม พี่น้องทุกคนอยู่ที่นั่น มีเพียงผมคนเดียวเท่านั้นที่ทำงานอยู่ห่างจากบ้านเกิด จำได้ว่าเป็นคืนที่ 4 ที่สวดงานศพแม่ ผมชักชวนเพื่อนคนหนึ่งไปฟังสวดด้วย ผมเป็นคนขับรถยนต์ และมีช่วงหนึ่งที่ต้องขับผ่านถนนลาดยางขนาดเล็กที่มีสองข้างทางเป็นทุ่งนา
เมื่อผมขับรถยนต์มาด้วยความเร็วสูง ข้างหน้าราว 50 เมตร ผมมองเห็นรถอีแต๋นคันหนึ่งกำลังขับผ่านจากทุ่งนาด้านหนึ่ง เพื่อขับข้ามถนนไปยังทุ่งนาอีกด้านหนึ่ง ตอนนั้นเป็นเวลาราวเกือบ 1 ทุ่ม รถยนต์ของผมสาดไฟไปข้างหน้ากระทบเข้ากับรถอีแต๋นคันดังกล่าว ผมตกใจ กลัวว่าจะชนเพราะกระชั้นชิดมาก ผมมองเห็นคนขับรถอีแต๋นแต่ไกล แต่มันก็อาจชนได้เพราะผมขับมาเร็วมาก ผมตัดสินใจเบี่ยงพวงมาลัยหลบทันทีและพยายามแตะเบรค แต่รถยนต์กลับเสียหลัก บินลอยออกไปทางด้านข้างของถนน จากนั้นก็ตกลงและลื่นไถลไปตามทุ่งนา ในเวลานั้นเองที่พวงมาลัยและเบรคไม่สามารถควบคุมรถยนต์ได้อีกต่อไป และในไม่ช้ารถยนต์ก็หยุดสงบลงอีกที โชคดีที่ผมและเพื่อนรัดเข็มขัดนิรภัยจึงปลอดภัยดี
เมื่อผมเงยหน้าขึ้นมาก็มองเห็นเสาไฟฟ้าอยู่ข้างหน้ารถยนต์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ผมเกือบเอาชีวิตของผมและของเพื่อนมาทิ้งไว้ที่นี่เสียแล้ว รถยนต์ไถลออกจากถนนไปไกลไม่ต่ำกว่า 40 เมตร เพื่อนของผมตกใจมาก แทบจะปลดปล่อยน้ำปัสสาวะออกมาโดยไม่รู้ตัว “คุณเบรครถยนต์อย่างกระทันหันทำไม?” เพื่อนผมเขาต่อว่าผมด้วยความโกรธ ผมเถียง “ก็ผมเห็นรถอีแต๋นขับออกมานี่” เขาส่ายหัว เพราะเขาไม่เห็น ที่จริงพอรถยนต์เสียหลักแล้ว ผมก็มองไม่เห็นอะไรอีกเหมือนกัน เราต้องลงจากรถยนต์ โทรไปตามรถลากมาลากทุลักทุเลพอสมควร แต่ก็โชคดีที่มันอยู่ไม่ไกลจากบ้านพ่อแม่ รถยนต์ยังพอขับไปได้ ผมและเพื่อนจึงไปทันงานสวดอย่างเฉียดฉิว
ในปีเดียวกัน ตอนปลายปี ผมต้องสูญเสียพ่อไปอีกคน ผมเสียใจมาก ที่จริงผมยังทำใจไม่ได้เลยสำหรับการจากไปของแม่ จำได้ว่าวันนั้นเป็นวันสุดท้ายที่จะนำศพพ่อไปเผาที่วัด โลงศพถูกตั้งไว้ที่บ้านของตระกูลของเรา ซึ่งแตกต่างไปจากเมื่อครั้งงานศพของแม่ที่ตั้งศพไว้ที่วัด กำหนดสวดโดยพระสงฆ์จำนวน 5 รูป ตอนนั้นราว 13 นาฬิกา เมื่อผมจอดรถยนต์แล้ว ผมจึงเดินเข้าไปในงานสวด ผมรู้ตัวดีว่าผมมาสายอีกตามเคย และในขณะที่ผมกำลังเดินเข้าไปยังห้องจัดงาน ผมจับจ้องสายตามองเข้าไปยังห้องกระจกที่สามารถมองเห็นอะไรๆ ในห้องนั้นได้แต่ไกล ผมดีใจมากเมื่อผมมองเห็นแม่ของผมนั่งอยู่ด้วย แม่นั่งตรงมุมห้องพอดีและหันหน้าออกมา เวลานั้นผมเองลืมเลือนเสียสนิทว่าแม่ของผมจากไปแล้ว
เมื่อผมเดินเข้าไปใกล้ห้องกระจก สายตาของผมยังคงจับจ้องตรงหน้าแม่ แต่แล้วในที่สุดแม่ก็ค่อยๆ กลับกลายเป็นพระสงฆ์รูปหนึ่งที่นั่งเป็นประธานสวดนั่นเอง หัวใจของผมเต้นแรงเร็ว มือและเท้ารวมถึงริมฝีปากเย็นเฉียบขึ้นมาทันที ผมคิดว่า ฤาว่า แม่จะมารับพ่อไปอยู่ด้วย
.. .ไปดีเถอะนะครับทั้งสองคน
|