คลีนิคหมอดูสุขภาพจิต คลีนิคสุขภาพจิต
จิตเวช สระบุรี
สมชาย สำราญเวชพร จิตเวช สระบุรี
หมอดูสุขภาพจิต หนังสือสุขภาพจิต สมชาย สุขภาพจิต หมอดู สระบุรี ถามตอบสุขภาพจิต หมอสมชาย สำราญเวชพร
นายแพทย์สมชาย สำราญเวชพร
นายแพทย์สมชาย สำราญเวชพร
ปัญหาสุขภาพจิต
สาระน่ารู สุขภาพจิต
โรคสมองเสื่อม (Dementia)
โรคนอนไม่หลับ (Insomnia)
การฆ่าตัวตาย (Suicide)
สุขภาพจิตน่ารู้
 
สั่งซื้อหนังสือ
หนังสือสุขภาพจิต
Head_12.jpg
ใครกันแน่ที่บ้า

คำถามที่ว่าผู้ป่วยทางจิตเวชทุกคนจำเป็นต้องได้รับการบำบัดรักษาไหม? มีผู้ป่วยทางจิตเวชจำนวนมากมายที่ไม่ได้รับการบำบัดรักษา และบางรายอาจได้รับการบำบัดรักษาอย่างไม่ถูกวิธี

โรคจิต เป็นโรคทางจิตเวชที่สำคัญอย่างหนึ่ง กล่าวคือผู้ป่วยจะมีความผิดปกติทางความคิด พฤติกรรมและอารมณ์อย่างรุนแรง จนถึงขั้นที่ไม่สามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติ ซ้ำร้ายยังอาจก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผู้คนรอบข้างอีกด้วย แต่ก็ยังมีผู้ป่วยอีกไม่น้อยที่แม้มีอาการทางจิต ก็สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้โดยไม่ได้รับการบำบัดรักษาใดๆ ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากผู้ป่วยมีอาการไม่มากหรืออาจมีอาการป่วยเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เป็นครั้งคราว และมีสิ่งแวดล้อมรอบข้างเอื้ออำนวยแก่การยอมรับผู้ป่วยนั่นเอง

ผมมีผู้ป่วยอยู่รายหนึ่งที่น่าสนใจและน่าที่จะนำมาเล่าให้ฟัง เรื่องมีอยู่ว่ามีผู้ป่วยหญิงรายหนึ่งมาขอพบผมโดยเจาะจง เธอได้รับการแนะนำจากเพื่อนของเธอว่าเธอควรจะมาพบกับจิตแพทย์ เธอแต่งตัวภูมิฐาน ดูสะอาดเรียบร้อย สมกับแม่บ้านวัย 40 กว่าปี ผมทักทายเธอ จากนั้นจึงขอให้เธอเล่าถึงปัญหาของเธอให้ผมฟังโดยที่ผมจะไม่พยายามขัดจังหวะการเล่าของเธอ

เธอเริ่มต้นว่าเป็นการยากที่เธอจะตัดสินใจมาพบกับจิตแพทย์โดยตรง เธอลังเลใจอยู่นานหลายเดือน แต่เธอเองก็อยากรู้จักตัวเองเหมือนกัน อนึ่งสามีของเธอมักกล่าวหาว่าเธอบ้าอยู่บ่อยๆ เธอบอกกับตัวเองว่าฉันไม่ได้บ้านะ แต่สามีของฉันต่างหากที่บ้า! เธอกังวลเกี่ยวกับภาพพจน์เหล่านี้ ทั้งนี้ก็เพราะเธอต้องอาศัยอยู่กับสามีในบ้านพักของโรงงานแห่งหนึ่งที่มีพนักงานของโรงงานอาศัยอยู่จำนวนมาก เธอรู้สึกได้ถึงการปฏิบัติต่อเธอที่เปลี่ยนไปของคนรอบข้างในช่วงเวลา 1 ปีมานี้เอง นอกจากนั้น ข่าวคราวที่ไม่สู้ดีเหล่านี้ยังกลายมาเป็นอุปสรรคต่ออาชีพการปล่อยเงินกู้ที่เธอได้ทำมาเป็นเวลานาน

ในระหว่างการสนทนาอยู่นั้น ผมสังเกตเห็นถึงสีหน้าและน้ำเสียงของความวิตกกังวลใจของเธอ ซึ่งถ้าหากเรื่องนี้ไม่กระทบกระเทือนต่อเธออย่างรุนแรงแล้ว เธอก็คงไม่ยอมมาพบผมอย่างแน่นอน ผมเริ่มสนใจในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับสามีของเธอ จากข้อความที่เธอพูดถึงการกล่าวหาของสามี และถ้ามีโอกาส ผมคงจะได้ซักถามต่อไป

ความกังวลว่าตัวเธอเป็นอะไรแน่? อะไรเกิดขึ้นกับตัวเธอบ้าง? เธอป่วยเป็นโรคจิตหรือไม่? นอกจากจะทำให้เธอไม่สบายใจ ท้อแท้และเศร้าแล้ว ยังลุกลามมาเป็นความเจ็บป่วยทางร่างกายอื่นๆ ตามมาอีกมากมาย อาทิ อาการปวดศีรษะแบบไมเกรนบ่อยๆ ที่ครั้งหนึ่งเคยหายไปเป็นเวลานานแล้ว อาการใจสั่น เหม่อ ใจลอย หลงลืมอะไรง่ายๆ ความจำสั้นลง ตกใจง่าย สะดุ้งผวา ขาดความมั่นใจและกังวลกลัวต่อเหตุการณ์ข้างหน้าที่ยังมาไม่ถึง นอกจากนี้เธอยังมีอาการเวียนศีรษะ หน้ามืดตาลายเวลาลุกขึ้นหรือเวลาที่เปลี่ยนท่าทางอย่างรวดเร็ว เธอเบื่อหน่ายอาหารและยังนอนหลับยากอีกด้วย

แม้ว่าลูกชายวัย 16 ปีของเธอจะให้ความมั่นใจแก่เธอเสมอๆ ว่า แม่ไม่ต้องกังวลใจ แม่ไม่ได้เป็นอะไรอย่างที่พ่อกล่าวหา พ่อต่างหากที่ผิดปกติ แต่คำพูดเหล่านี้ก็ทำให้เธอสบายใจได้เพียงชั่วครั้งคราวเท่านั้น เมื่อลูกของเธอจะต้องกลับไปเรียนต่อที่ต่างจังหวัด เธอก็ต้องพบกับสภาพอันเลวร้ายเช่นเดิมอีก ผมทราบว่าเธอคงต้องการคำยืนยันหรือคำพิพากษาจากผมว่าเธอปกติหรือผิดปกติกันแน่ ทั้งนี้เพราะการเป็นอยู่แบบครึ่งๆ กลางๆ เช่นนี้ ไม่อาจก่อให้เกิดผลดีต่อจิตใจของเธอเลย และแม้ว่ามันจะเร็วเกินไปที่ผมจะสรุปว่าเธอเป็นอย่างไร? หากแต่เมื่อได้พินิจพิเคราะห์ถึงสภาพของตัวเธอ การแสดงออกของอารมณ์ ความคิดหรือแม้แต่การดำเนินชีวิตในการหาเลี้ยงตนเอง ผมเห็นว่าการยืนยันต่อเธอถึงความเป็นปกติของเธอก็น่าจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องกว่า เธอดีใจมากจากการสังเกตเห็นแววตาของเธอ ผมกล่าวเสริมว่า “ผมมั่นใจว่าคุณไม่ได้ป่วยเป็นโรคจิตหรือมีความผิดปกติทางจิตรุนแรงอย่างที่คุณวิตกกังวล” “แต่ผมคิดว่าคุณคงมีเรื่องไม่สบายใจอยู่มากทีเดียว ผมต้องการให้คุณทบทวนเรื่องราวต่างๆ ให้ผมฟัง เผื่อบางทีผมอาจมีข้อแนะนำอะไรดีๆ ให้คุณได้บ้าง”

อันที่จริงเป็นเรื่องที่น่าสนใจว่าทำไมใครๆ จึงต่างลงความเห็นว่าเธอผิดปกติอย่างที่เธอกล่าวอ้างให้ฟัง ทั้งๆ ที่ผมเห็นว่าเธอมีเพียงความวิตกกังวลเท่านั้น เธอกล่าวเป็นเบื้องต้นว่าเรื่องที่เธอจะเล่าให้ผมฟัง ผมคงไม่เชื่อเธอ แต่เธอก็ไม่อาจหาข้อพิสูจน์ได้ ทั้งนี้ก็สุดแท้แต่วิจารญาณของผมเอง

ผมตั้งใจฟัง และเธอก็พร้อมที่จะเล่า ..

เธอเล่าว่า 2 ปีมานี้ เธอจับได้ว่าสามีของเธอได้นอกใจเธอ โดยเธอเริ่มจับสังเกตได้จากพฤติกรรมของสามีที่เปลี่ยนไปจากเดิม อาทิ การคะยั้นคะยอให้เธอขึ้นไปเยี่ยมลูกชายซึ่งเป็นลูกคนเดียวที่ต่างจังหวัด โดยให้เธออยู่ดูแลลูกชายนานๆ และไม่ต้องเป็นห่วงทางบ้านแต่ประการใด ทั้งนี้เพราะเขาสามารถดูแลตัวเองได้เป็นอยางดี เป็นต้น จากนั้นต่อมา เธอก็เริ่มระแคะระคายว่าสามีของเธอไปเป็นชู้กับพี่สะใภ้ตัวเอง และเมื่อพี่ชายสามีจับได้ว่าภรรยาไปมีความสัมพันธ์กับผู้ชายอื่นโดยที่ยังไม่ทราบว่าเป็นใครนั้น? เขาก็โวยวายและยิงปืนขู่ ต่อจากนั้นไม่นาน พี่ชายของสามีก็เสียชีวิตลงโดยไม่ทราบสาเหตุของการเสียชีวิตที่แน่ชัด

ต่อมาไม่นาน มีอยู่วันหนึ่ง สามีของเธอได้ซื้อก๋วยเตี๋ยวน้ำมาฝากและพยายามขอร้องให้เธอทาน ซึ่งตามปกติเขาไม่เคยกระทำเช่นนี้มาก่อน แต่เธอก็ปฏิเสธเพราะเธอไม่ชอบเส้นก๋วยเตี๋ยวโดยเธอเองก็ไม่ทราบมาก่อนว่าสามีของเธอคิดฆ่าเธอ เธอได้นำห่อก๋วยเตี๋ยวห่อนั้นไปให้หลานชายของสามี และไม่กี่วันต่อมา หลานชายก็ตายลงโดยไม่ทราบสาเหตุอีกเช่นกัน เธอเองก็ไม่เคยสงสัยในเรื่องนี้มาก่อน จนมาเย็นวันหนึ่ง เธพยายามมอมเหล้าสามีเพื่อจะล้วงความลับเกี่ยวกับผู้หญิงอื่นที่สามีของเธอไปมีความสัมพันธ์ด้วย แต่แล้วนอกจากสามีของเธอจะยอมรับว่าเขานอกใจเธอจริงๆ แล้ว เขายังได้เล่าถึงวิธีการใช้ยาสั่งใส่เข้าไปกับอาหารให้พี่ชายทานเพื่อจะหลีกหนีความผิด และยังตั้งใจจะฆ่าเธอเพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตอยู่กับพี่สะใภ้ เธอยังได้เล่าให้ผมฟังอีกมากมายโดยทุกๆ เรื่องที่ได้กล่าวอ้างถึงล้วนเกี่ยวโยงถึงสามีของเธอกับการนอกใจ ผมฟังเธอด้วยความตั้งใจและออกจะแปลกใจดังที่เธอเกริ่นไว้แต่ข้างต้น เธอเล่าต่อไปว่า 1 ปีมานี้ สามีของเธอพยายามขอเลิกกับเธอโดยยินยอมยกสมบัติทั้งหมดให้เธอ แต่เธอก็ไม่ยินยอม มาระยะหลังสามีของเธอจึงเลิกตอแยกับเธอเกี่ยวกับการขอหย่า แต่หันมาขอร้องให้เธอช่วยไปสู่ขอผู้หญิงคนหนึ่งมาให้เขาเป็นภรรยา เธอต้องจำยอมไปสู่ขอให้เขา แต่แล้วผู้หญิงคนนั้นกลับตอบปฏิเสธและเธอต้องเสียหน้า เธอกล่าวอีกว่าเธอต้องทุกข์ระทมขมขื่นใจเช่นนี้มาตลอด จนในที่สุดเธอก็ไม่อาจอดทนต่อพฤติกรรมของสามีของเธอได้อีกต่อไป เธอแสดงความโกรธกริ้วต่อสามีอย่างสุดโต่งจนสามีของเธอไม่กล้ามาตอแยกับเธออีกเลย เธอจะโกรธเคืองมากหากสามีของเธอกล่าวหาว่าเธอบ้า เธอพูดให้กำลังใจกับตัวเองเสมอๆ ว่าเธอไม่ได้บ้า แต่เธอถูกกดดันจากสามีของเธอจนเธอไม่อาจยับยั้งชั่งใจได้ในบางครั้งคราวเทานั้น โดยเฉพาะเวลาที่สามีของเธอกลาวหาว่าเธอบ้านั่นเอง เธอสามารถทำอะไรๆ ก็ได้ที่เป็นอันตรายหากเธอโกรธเขาขึ้นมา

สามีของเธอก็เพิ่งถูกเธอฟันที่แขนด้วยมีดจนต้องเข้ารักษาตัวที่ ร.พ.มาแล้ว อนึ่งเมื่อ 4-5 เดือนที่ผ่านมา สามีของเธอทำตัวดีขึ้น เขาเอาอกเอาใจเธอมากขึ้นและไม่พยายามต่องาน จึงกลับถึงบ้านตรงเวลาเสมอๆ เขาพยายามใช้คำพูดไม่มากและทุกครั้งเขาจะพูดจาด้วยความไพเราะอ่อนหวานกับเธอ ส่วนเธอนั้นก็เช่นกัน แต่สุดท้ายเธอก็ยังไม่อาจไว้วางใจสามีของเธอได้อยู่ดี และคิดว่าที่เขาทำดีเพราะเขาต้องการทำให้เธอตายใจนั่นเอง

ผมเริ่มกังวลใจเกี่ยวกับคำยืนยันที่ผมได้ให้ไว้แก่เธอไปแล้ว หากแต่ผมยังคงสงวนท่าทีต่อไป ผมบอกเธอว่าผมจำเป็นต้องหยุดการสนทนาไว้ก่อนเพราะใช้เวลามานานพอสมควรแล้ว และผมยังขอพบกับสามีของเธอในคราวหน้า ก่อนที่เธอจะกลับ ผมได้จ่ายยาที่จำเป็นในการรักษาอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับร่างกายของเธอไว้ในใบสั่งยาให้แก่เธอ

การพบกันในคราวที่สอง ผมได้พบกับสามีของเธอตามลำพัง สามีเธอได้ให้ข้อมูลที่สำคัญกับผม อย่างเช่นเวลาที่เธอโกรธ จะมีความรุนแรงมากจนเขากลัว เธอคาดคั้นเรื่องภรรยาน้อยจนในที่สุดเขาต้องยอมรับเพื่อต้องการให้เรื่องมันจบลง ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่เรื่องจริงแต่อย่างใด จากนั้นเขาก็ถูกโจมตีด้วยเรื่องนี้มาโดยตลอด เขายอมรับว่าเขาพยายามจะไม่ต่อปากต่อคำกับเธอให้มาก เขาขอร้องผมไม่ให้นำเรื่องที่เขาเล่าให้ฟังไปบอกภรรยา ผมรับปากเขา จากนั้นผมจึงขอให้เขาได้เล่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ในครอบครัวและการงาน ทั้งนี้ก็เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลให้ได้มากที่สุด สำหรับข้อมูลที่น่าแปลกใจก็คือเขาได้เล่าถึงความซื่อสัตย์ที่เขามีความภาคภูมิใจอย่างมาก เขาร้องเรียนผู้อำนวยการโรงงานและยังพาผู้อำนวยการโรงงานไปจับเพื่อนร่วมงานที่ชอบลักขโมยสิ่งของในโรงงาน แต่แล้วก็ไม่พบเห็นความผิดปกติ เขาคิดว่าผู้อำนวยการโรงงานคงต้องรู้เห็นเป็นใจไปด้วย นอกจากนี้ท่าทางที่เขาแสดงออกในระหว่างการพูดคุย ก็ดูค่อนข้างแปลกพิกล หลังจากการสนทนายุติลง ผมจึงได้พบกับผู้ป่วยอีกครั้งหนึ่งก่อนที่จะขอนัดกับผู้ป่วยในคราวต่อไป

ผมยังคงพอมีเวลาครุ่นคิดเรื่องผู้ป่วยรายนี้อยู่บ้าง หรืออย่างน้อยก็ยังมีเวลาเหลืออยู่อีก 7 วันก่อนที่จะพบกันในคราวหน้า ผมคิดว่าอาจเป็นไปได้ที่สามีภรรยาคู่นี้คนใดคนหนึ่งจะต้องมีความผิดปกติทางจิต และหรืออาจเหนี่ยวนำให้อีกคนหนึ่งมีความผิดปกติทางจิตตามมาก็ได้ (Induced Psychosis) โดยลักษณะเด่นที่พบก็คือความหวาดระแวง ผมจำเป็นต้องหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อจะได้ให้ความช่วยเหลือได้อย่างถูกต้อง

ผมติดต่อไปที่หัวหน้างานและเพื่อนร่วมงานของสามีผู้ป่วย โดยอรรถาธิบายให้ฟังก่อนจะขอข้อมูลต่างๆ ก็ได้ความว่า เพื่อนร่วมงานทุกคนต่างลงความเห็นว่าเขา (สามีของผู้ป่วย) มีความผิดปกติทางจิตมานานพอสมควร หากแต่ยังสามารถทำงานได้ เมื่อผมได้ข้อมูลมากขึ้น ผมจึงเริ่มมีความมั่นใจมากขึ้นว่าปัญหาในครอบครัวนี้น่าจะเกิดจากสามีของผู้ป่วยเป็นหลักมากกว่า ซึ่งผมยังได้รับคำยืนยันจากลูกชายของเธออีกทางหนึ่ง เขายอมรับว่าเขาขออนุญาตพ่อและแม่เพื่อไปศึกษาเล่าเรียนที่ต่างจังหวัดแทนที่จะเรียนในจังหวัดตนเอง ทั้งนี้ก็เพื่อหลีกหนีปัญหาความวุ่นวายต่างๆภายในครอบครัวนั่นเอง

ผมได้พบกับผู้ป่วยเป็นครั้งที่ 3 เธอมีอาการดีขึ้นมาก นอนหลับได้มากขึ้น ไม่ปวดศีรษะไม่เวียนศีรษะ แต่ยังมีอารมณ์หงุดหงิดและโกรธเคืองอยู่บ่อยๆ ต่อท่าทีของสามี ผมขอให้เธอเล่าเรื่องความเชื่อต่างๆ ที่เธอเคยเล่าให้ผมฟังเกี่ยวกับเรื่องราวของสามี ผมถามเธอว่าข้อมูลที่เธอเล่าให้ผมฟังนั้น เธอได้มาอย่างไร? เธอบอกผมว่าสามีของเธอเล่าให้เธอฟัง ผมจึงบอกเธอถึงความเป็นไปได้ที่ว่าพี่ชายของสามีและหลานชาย น่าจะเสียชีวิตจากโรคอื่นๆ ที่ไม่ใช่เรื่องของคุณไสย์อย่างที่สามีของเธอเล่าให้เธอฟัง เธอแสดงความคิดเห็นว่าอาจมีความเป็นไปได้ ผมถามเธอว่าเธอเคยเห็นสามีของเธอแสดงความผิดปกติอื่นๆ อย่างเช่นนั่งพูดคุยคนเดียว นอนไม่หลับ ยิ้มหัวเราะแบบไม่มีเหตุผลบ้างหรือไม่? เธอยืนยันว่าหลังจากที่พี่ชายของเขาเสียชีวิต เธอก็เห็นเขาชอบไปนั่งพูดคุยอยู่คนเดียวกับต้นไม้ในเวลากลางคืน เขาบอกเธอว่าเขากำลังส่งคุณไสย์ออกไป เธอคิดว่าอาจเป็นไปได้ก็ได้

ผมลงความเห็นว่าสามีของเธอน่าจะป่วยด้วยโรคจิตที่มีความผิดปกติทางความคิดเป็นหลัก เขามีความคิดหลงผิดหลายๆ อย่างในเรื่องที่ไม่ใช่ความเป็นจริง เขาหวาดระแวงและยังมีอาการทางประสาทหลอนอีกด้วย ซึ่งความผิดปกตินี้ได้ถูกถ่ายทอดมายังเธอด้วยการสอดแทรกความคิดเห็นแบบผิดๆ ทุกๆ วัน กระทั่งเธอมีความคิดหลงผิดแบบคล้อยตาม อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้เขาอาจมีอาการไม่มาก หลงผิดในบางเรื่อง หรือมีอาการในบางช่วงเวลาเท่านั้น อาการของเขาอาจรุนแรงขึ้นได้เมื่อมีความเครียดมากระตุ้น อย่างเช่นในช่วงที่พี่ชายของเขาเสียชีวิตลง ความรู้สึกที่ไม่ชอบพี่ชายร่วมกับความรู้สึกผิด อาจทำให้เขาหลงผิดไปว่าตนเองคือฆาตรกรที่ฆ่าพี่ชายละแย่งภรรยาของพี่ชาย กอร์ปกับมีความเชื่อทางไสยศาสตร์อยู่เป็นทุนเดิม และแม้ว่าในขณะนี้โรคจะได้สงบลงชั่วคราวแล้วก็ตาม แต่ก็ยังหลงเหลือความเชื่อที่ผิดๆ บางอย่าง ความกดดันกับความเชื่อนี้ยังได้ถูกถ่ายทอดมายังภรรยาที่มีความโน้มเอียงที่จะคล้อยตามได้ง่ายๆ เธอจึงต้องตกอยู่ในกระแสความหลงผิดทางความคิดไปด้วยเช่นกัน

 
Copy All Right Reserved 2013 www.หมอดูสุขภาพจิต.com
เลขที่ 1/26 ถ.สุดบรรทัด13 ต.ปากเพรียว อ.เมือง จ.สระบุรี 18120