คลีนิคหมอดูสุขภาพจิต คลีนิคสุขภาพจิต
จิตเวช สระบุรี
สมชาย สำราญเวชพร จิตเวช สระบุรี
หมอดูสุขภาพจิต หนังสือสุขภาพจิต สมชาย สุขภาพจิต หมอดู สระบุรี ถามตอบสุขภาพจิต หมอสมชาย สำราญเวชพร
นายแพทย์สมชาย สำราญเวชพร
นายแพทย์สมชาย สำราญเวชพร
ปัญหาสุขภาพจิต
สาระน่ารู สุขภาพจิต
โรคสมองเสื่อม (Dementia)
โรคนอนไม่หลับ (Insomnia)
การฆ่าตัวตาย (Suicide)
สุขภาพจิตน่ารู้
 
สั่งซื้อหนังสือ
หนังสือสุขภาพจิต
Head_8.jpg
รักฉันคนเดียวนะ

คำอุปมาอุปมัยต่างๆ อาทิ ความอ่อนแอพิชิตความแข็งกร้าว ยุงร้ายกว่าเสือ นารีห้าร้อยเล่มเกวียน หรือปากคนร้ายยิ่งกว่าการใช้กำลังฉันใด จิตแพทย์ย่อมใช้การรักษาด้วยคำพูดฉันนั้น

ดูอย่างภาพยนตร์ฝรั่งเรื่องฮานิบาลที่ตัวร้ายเป็นจิตแพทย์ เวลาตำรวจจับได้ยังต้องใส่ตะกร้อครอบปาก ทั้งนี้เพราะเกรงว่าผู้ร้ายจะไปพูดให้ใครเจ็บช้ำน้ำใจจนถึงกับโกรธแค้นหรือคลั่ง สำหรับกฎหมายไทยคงไม่ได้ครอบคลุมไปถึงการพูดจาแบบนิ่มนวล แต่เชือดเฉือนอารมณ์จนทำให้คนฟังเจ็บปวดอย่างรุนแรงกระทั่งฆ่าตัวตายไปเองว่าเป็นความผิดฐานฆ่าคนตาย แต่กลับมุ่งประเด็นเพียงการพูดจาให้ร้ายแบบโต้งๆ หยาบคายเท่านั้น

ผมมีผู้ป่วยหญิงสาวรายหนึ่งที่ผมทำจิตบำบัดเธออยู่ ก็พอจะเล่าให้ฟังได้โดยย่อ กล่าวคือเธอเดินเข้ามาหาผมที่คลินิกด้วยใบหน้าที่เป็นปกติ เธอแต่งตัววัยรุ่น หน้าตาดีราวกับนักแสดง เมื่อผมเปิดดูประวัติที่เธอลงไว้ในสมุดเวชระเบียน พบว่าเธอมีอายุ 26 ปี และกำลังฝึกงานที่สำนักงานทนายความแห่งหนึ่ง รวมถึงกำลังเตรียมสอบเนติบัญฑิตเพื่อเป็นผู้พิพากษา เธอเล่าว่าเธอมีปัญหามาก และตอนนี้เธอกำลังวิตกกังวลอย่างมากด้วย ซึ่งถ้าเธออยู่คนเดียว เธอจะมีอารมณ์เศร้า เธอเคยเจ็บป่วยมากกระทั่งต้องถูกส่งตัวไปนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลทางจิตอยู่พักใหญ่ๆ ด้วยอาการซึมเศร้า สาเหตุเป็นเพราะพ่อของเธอเสียชีวิตอย่างกระทันหันด้วยการถูกคนร้ายยิงตาย ตอนนั้นเธอมีอายุเพียง 14 ปีเท่านั้น เธอบอกผมว่าพ่อของเธอเป็นนักเลงคุมวินมอเตอร์ไซด์ ผมจึงถามย้ำกับเธอเพื่อความแน่ใจ เธอตอบผมว่า “ใช่” พ่อเธอเป็นนักเลง และเป็นคนที่เธอเทิดทูนบูชาในความกล้าหาญ พ่อเป็นทุกๆ อย่างของเธอ พ่อสอนให้เธอเข้มแข็ง เมื่อล้ม พ่อจะไม่ช่วยอุ้ม ไม่ช่วยจับ พ่อจะบอกให้เธอลุกขึ้นมาเอง และถ้ามีใครมาแกล้ง ก็ให้สู้เขาไปเลย

เธอจึงเป็นผู้หญิงที่ไม่เคยยอมใครๆ หรือยอมแพ้อะไรๆ ง่ายๆ ผมจึงสอบถามเธอว่าเธอคงชอบคบหาแต่เพื่อนชายมมากกว่าเพื่อนหญิงสินะ และอาจกล่าวหาผู้หญิงว่าเรื่องมากไร้สาระ เธอตอบผมแบบไม่ลังเลว่านั่นคือตัวตนที่แท้จริงของเธอนั่นเอง เธอมีแต่เพื่อนชายทั้งนั้น เธอยังเล่าต่อไปอีกว่า ตอนที่เธอเป็นเด็ก เธอจะนอนกับพ่อและสนิทกับพ่อมากกว่าแม่ เธอเป็นลูกคนโต ส่วนน้องๆ อีก 3 คนจะใกล้ชิดกับแม่ เปล่า ครอบครัวของเธอไม่ได้แตกแยก เธอหมายถึงพ่อมักจะนอนอยู่ชั้นบนบ้านกับเธอสองคน ส่วนแม่จะนอนกับน้องๆ ที่ชั้นล่าง เมื่อพ่อของเธอจากไป เธอรู้สึกราวกับว่าเธอได้สูญเสียบุคคลที่รักเพียงคนเดียวไปแล้ว เธอจึงว้าเหว่และโดดเดี่ยว เธอไม่ค่อยสนิทกับแม่และน้องๆ ที่คลานตามกันออกมาเท่าใดนัก โดยเฉพาะแม่ของเธอด้วยแล้ว เธอมักจะขัดแย้งกับแม่เสมอๆ พูดดีกันได้ก็ไม่นาน

ผมสังเกตว่าเธอสามารถเล่าเรื่องราวต่างๆ ของเธอให้ผมฟังได้ด้วยอาการที่สงบ ไม่มีน้ำตาแม้สักหยดหนึ่ง เธอยังคงมองจ้องตาผมเวลาที่เธอสนทนากับผม ผมกระตุ้นเธอ “เรื่องเป็นอย่างไรต่อไปล่ะ เพราะมันคงไม่จบเพียงเท่านี้” เธอบอกว่าเวลานี้เธอพักอาศัยอยู่กับแฟนหนุ่มที่มีอายุไร่เรี่ยเท่าๆ กัน แฟนของเธอเช่าหอพักให้เธออยู่และดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เธอต้องกินต้องใช้ แฟนของเธอมีงานทำแล้ว ส่วนเธอมีหน้าที่เรียนอย่างเดียว และตอนนี้ก็เหลือเวลาอีกเพียง 4-5 เดือนก็จะเสร็จสิ้นจากการฝึกงานและจะสอบเนติฯ เสียที ซึ่งถ้าเธอสอบได้เป็นผู้พิพากษาแล้ว เธอก็คงมีเงินเดือนเลี้ยงตนเอง จะได้พึ่งตนเองได้เสียที ถึงตอนนี้ผมจึงขอขัดจังหวะเธอด้วยความสงสัยว่า “มันจะสอบง่ายขนาดนั้นเลยหรือ?” เธอแสดงความมั่นใจ เธอบอกผมว่าเธอเป็นคนเรียนเก่ง อันเป็นคุณสมบัติที่ดีเพียงข้อเดียวที่เธอพอมีอยู่บ้าง สำหรับอย่างอื่นๆ เธอไร้เดียงสามาก ผมก็ได้แต่เออออไปกับเธอด้วย

หลังจากที่เธอหยุดพูดถึงตรงนี้ คราวนี้เธอพยายามตั้งสติ แล้วเธอพูดว่า “หมอค่ะ ตอนนี้หนูแย่ หนูกับแฟนเพิ่งเลิกกันได้ไม่นานนี้เอง และหนูกำลังทำใจอยู่ ยิ่งใกล้สอบก็ยิ่งสับสน หนูยังต้องใช้จ่ายเงิน และเขาก็รับปากว่าเขาจะยังดูแลค่าใช้จ่ายเหมือนเดิมจนกว่าหนูจะได้ทำงาน” เธอ

หยุดหายใจเล็กน้อยก่อนพูดต่อ “เราอยู่ด้วยกันมาสี่ปี แต่มันไม่ได้ทำให้อะไรๆ ดีขึ้นไปกว่าตอนแรกๆ ที่รู้จักกัน ยิ่งนานไป หนูยิ่งรับไม่ได้กับพฤติกรรมของเขา เขาชอบดื่มเหล้ามาก” เธอทำเสียงสูงก่อนจะหยุดพูดตรงคำว่าเหล้านี่เอง แล้วเธอก็ถอนหายใจ ซึ่งคงเป็นเรื่องที่เธอสะเทือนใจผมขอให้เธอเล่าต่อไป เธอพูดต่อ “คือว่า เมื่อเขาทำงานเสร็จ เขาก็จะอยู่ดื่มเหล้ากับเพื่อนๆ และกว่าจะกลับถึงบ้านก็ 5 ทุ่มเที่ยงคืนทุกวัน ส่วนวันหยุด เสาร์-อาทิตย์ แทนที่จะอยู่กับบ้านก็จะออกไปดื่มเหล้ากับเพื่อนๆ เหมือนเดิม ทิ้งให้หนูอยู่ห้องคนเดียว หนูเกลียดมากผู้ชายดื่มเหล้า” เธอพูดต่อ “ดิฉันเคยไปอยู่กับเขาในวงเหล้า ต้องคอยผสมเหล้าให้พวกขี้เหล้า เสียความรู้สึกมากๆ” ผมถามเธอ “แล้วคุณบอกกับเขาอย่างไรบ้าง?” เธอตอบ “หนูก็บอกให้เขาเลิก เขาก็บอกว่า อย่ามายุ่งกับชีวิตของเขาได้ไหม? หนูยังต้องพึ่งเขา แล้วยังจะมาลำเลิกกับเขาอีกหรือ?” ผมถามแทรกด้วยการสะท้อนความรู้สึกของเธอ “คุณก็คงโกรธ” เธอรับฟัง จากนั้นเธอก็ชี้แจงต่อ “ค่ะ หนูรู้สึกว่าตนเองไม่มีคุณค่าอะไรเลย ต้องแบมือขอเงิน เขาบอกว่าอย่างหนูเนี่ย อยู่กับใครก็คงอยู่ไม่ได้ กฎระเบียบมากมาย ไม่รู้จักทำตัวสบายๆ เสียบ้าง” “ก็จะให้ทำยังไง พูดคุยกันยังไม่มีเวลาให้หนูเลย พอหนูไปพูดกับแม่ แม่ก็บอกว่าต้องอดทน ให้อยู่กับเขาไปก่อน แม่ไม่สามารถดูแลค่าใช้จ่ายได้ แล้วแม่ยังบอกว่า ถ้าหนูเป็นอย่างนี้ หนูคงอยู่กับใครไม่ได้หรอก แม่หนูเองยังพูดย้ำแต่เรื่องนี้”

ตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกว่าเธอแย่ลงกว่าตอนที่เธอเดินเข้ามาหาผมครั้งแรกเสียอีก น้ำเสียงของเธอสั่นเครือ ผมถามเธอ “คุณก็เลยน้อยใจเสียใจ” เธอผงกศีรษะ “หนูรู้สึกว่าหนูไม่เอาไหนและหนูแปลกกว่าใครๆ เขา จริงไหมคะหมอ? เขาบอกว่าหนูไม่เหมือนคนทั่วไป แม่ก็ว่า แฟนก็ว่า และเพื่อนๆ ก็บอกว่านี่เธอคงมีสามีไม่ได้ ชีวิตมีแต่กฎระเบียบมากมาย”

ผมหยุดรอจังหวะ โชคดีที่เธอไม่พูดต่อและแววตาของเธอก็แดงก่ำ ผมจึงพูดปลอบเธอ “ผมว่าชีวิตของคนเราก็ควรมีกฏระเบียบกันบ้าง ก็จะดี ผมคิดว่าแฟนของคุณและเพื่อนๆ ของคุณยังอยู่ในวัยคึกคะนอง เขาก็คงยังอยากเที่ยว แต่ดูคุณจะเป็นผู้ใหญ่กว่าพวกเขา” เธอมองผมด้วยสายตาเหนื่อยอ่อน “คุณหมอบอกมาเถอะค่ะว่าหนูผิดปกติ หนูรู้ว่าตอนนี้หนูเศร้า และถ้าปล่อยทิ้งไว้มันอาจเป็นมากเหมือนเมื่อครั้งที่เคยเข้าโรงพยาบาลโรคจิตมาแล้ว มีความคิดฆ่าตัวตาย แต่ตอนนี้หนูยังพอควบคุมตนเองได้” ผมถามเธอต่อ “บางครั้งก็ควบคุมตนเองไม่ได้ ใช่ไหม?” เธอตอบผม “ใช่ค่ะ เวลาที่เห็นแฟนไปดื่มเหล้ากลับมา จิตใจมันรับไม่ได้ หนูก็เลยระเบิดอารมณ์ออกไป สุดท้ายเขาก็บอกว่าให้เลิกกันไปดีกว่า ตอนนี้เขากลับไปอยู่ที่บ้านของเขา ปล่อยให้หนูอยู่หอพักคนเดียว หนูรู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้ง ไม่มีใครอีกแล้ว”

ถึงตรงนี้ผมรู้สึกได้ว่าเธอแย่ลงมาก เธอร้องไห้เบาๆ ผมต้องพยายามดึงเธอขึ้นมาจากอารมณ์ที่เธอรู้สึกทุกข์ทรมาน “คุณคิดว่า หมอทั้งหลายเป็นคนแปลกไหม?” เธอเช็ดน้ำตาด้วยกระดาษทิชชูที่ผมหยิบยื่นให้เธอ เธอมองหน้าผม พร้อมกับผงกศีรษะ “ค่ะ” ผมอธิบายให้เธอฟังต่อ “ผมคิดว่าหมอทั้งหลาย หรือคนที่สำเร็จการศึกษาสูงๆ ไม่ใช่คนแปลกนะ หากแต่พวกเขาเป็นคนพิเศษต่างหาก คุณก็ใช่ คือคุณไม่ปล่อยชีวิตให้เหลวไหลไปกับการดื่มและเที่ยวกลางคืน คุณเป็นคนที่มีความรับผิดชอบและตั้งใจเรียนเพื่อความสำเร็จในอนาคต บางทีคนที่เหมาะสมสำหรับคุณน่าจะเป็นคนที่มีความเป็นผู้ใหญ่หรือเป็นคนในอุดมคติเช่นเดียวกับพ่อของคุณ คุณคิดว่าเป็นอย่างไรบ้าง?” เมื่อเธอได้ยินคำเยินยอพ่อของเธอ คราวนี้เธอเผยอยิ้มที่มุมปากได้แล้ว เธอวกกลับมาเรื่องเดิมอีก “คือหนูอยากรู้ว่าหนูเป็นคนแปลกไหม? ระยะนี้หนูอยู่คนเดียว หนูก็เลยคบหาผู้ชายอีกคนหนึ่ง เขาเป็นตำรวจ คนนี้เขามีเวลาให้หนูมากกว่า แต่วันๆ ก็นั่งแต่เล่นเกมส์ออนไลน์ พอหนูเข้าไปดู ก็เห็นเขาเล่นและแชทกับคนเล่นด้วยกัน เข้าทำนองจีบกัน หนูก็เลยโมโห เขาก็บอกว่าหนูเรื่องมาก หนูก็เลยไม่อยากเอาจริงเอาจังกับใครอีกแล้ว มีแฟนกี่คนกี่คน ไม่เห็นดีเลยสักคน”

ผมตั้งสติตนเองเสียก่อนที่จะเตือนสติเธอ “ที่จริง ทำไมคุณไม่หันมาใส่ใจกับเรื่องการเรียนให้มาก นี่ก็ใกล้จะจบแล้วไม่ใช่หรือ? คุณจะได้ทำงานหาเงินเลี้ยงตัวเอง เป็นที่พึ่งแห่งตนเสียที” เธออธิบาย “มันยากค่ะ ยอมรับว่าตอนนี้หนูสับสนไปหมด พออยู่คนเดียวก็เหงา โดดเดี่ยวอยากมีใครสักคนที่จะมาเป็นคู่ชีวิตที่ดี” ผมพยักหน้ารับฟังเธอ ผมพยายามเข้าใจเธอ “คุณคงต้องการมองหาใครสักคนมาเป็นคู่ชีวิตมากกว่าจะเริ่มต้นจากความรัก เหมือนที่คนทั่วไปเขามักไม่มองไปที่การร่วมชีวิตก่อน เพราะมันเป็นเพียงผลพลอยได้ทีหลังจากความรักที่เกิดขึ้นก่อน ใช่ไหม? หากแต่คุณต้องการเริ่มต้นจากความต้องการเลือกคู่ชีวิตที่คุณยังไม่พอใจ เพราะพวกเขาไม่ได้ทำให้คุณรู้สึกภาคภูมิใจเช่นที่คุณเคยได้รับจากคุณพ่อของคุณ ใช่ไหม?” เธอทำสีหน้างุนงงสงสัย อาจเป็นเพราะผมพูดยาวไปหรือไม่เธอก็สงสัยในตัวเธอเอง สักพักหนึ่งเธอก็อธิบาย “หนูพอจะเข้าใจแต่เข้าใจได้ไม่หมด” เมื่อเธอพูดอย่างงนี้ ผมจึงได้แต่โล่งอก เพราะผมแอบเหน็บเธอเล็กๆ นะสิ หากแต่เธอคงไม่รู้นั้นเอง

ผมพูดต่อ “ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณเป็นคนเก่ง เดี๋ยวคุณก็ทำใจได้ ผมคงต้องให้ยาต้านเศร้าคุณไปรับประทานนะครับ” เธอสนับสนุน “ตอนนั้น หนูก็เคยรับประทานยาต้านเศร้า แต่หนูอยากถามคุณหมอว่ามันช่วยอะไรเราได้บ้าง?” ผมรู้ว่าเธอเป็นคนที่ต้องการหลักการและเหตุผล ผมจึงอธิบายเธอ “สมมุติว่าคนเราทานพริกเข้าไป ก็ย่อมต้องเผ็ด จริงไหมครับ? เพราะพริกเป็นสารเคมีประเภทด่างที่เมื่อ มันละลายกับน้ำแกงหรือน้ำลายของเราแล้ว เมื่อไปสัมผัสเข้ากับต่อมรับรสเผ็ดที่ลิ้น มันจะทำให้เกิดสัญญาณประสาทเกิดขึ้นที่ต่อมรับรสเผ็ด จากนั้นก็จะวิ่งไปที่สมองและแปลผลลัพธ์เป็นความเผ็ด ซึ่งทุกๆ คนย่อมรู้สึกเหมือนๆ กัน แต่จะมากจะน้อยย่อมขึ้นกับประสบการณ์และการเรียนรู้

สำหรับการทำจิตบำบัดก็คือความพยายามในการทานพริกทีละหน่อยทีละหน่อย ทำไปเรื่อยๆ กระทั่งคุณสามารถทนความเผ็ดได้ แต่การทานยาต้านเศร้า เปรียบเสมือนคุณกินผลไม้มหัศจรรย์ชนิดหนึ่งเข้าไป ซึ่งเมื่อกินเข้าไปแล้วมันจะไปทำปฎิกิริยากับต่อมรับรู้รสเผ็ดที่ลิ้น ทำให้เมื่อกินพริกตามเข้าไปแล้วจึงไม่เผ็ด ยาต้านเศร้าจะไปจัดการกับสารชีวเคมีในสมองที่ชื่อเซโรโตนินและนอร์อิพิเนฟริน ทำให้สารเหล่านี้เพิ่มปริมาณขึ้น จึงเศร้าไม่ออก”

เธอถึงกับอึ้ง “ค่ะ คุณหมอจ่ายยาให้หนูก็ได้ แต่หนูอยากมาคุยกับคุณหมอเรื่อยๆ” ผมตอบตกลงเธอ คราวนี้ผมจะใช้เทคนิคใหม่ที่ผมคิดค้นขึ้นกับเธอดูบ้าง ด้วยการซักถามเธอกลับไปว่าเธอได้อะไรไปบ้าง “คุณมาพูดคุยกับผม คุณได้อะไรจากการสนทนาไปบ้าง?” เธอตอบผม “หนูได้เรียนรู้หลายๆ อย่าง หนูได้รู้ว่า หนูควรวางแผนการชีวิตอย่างไร? ควรใส่ใจการเรียนและหาอนาคตเพื่อตนเอง หนูเป็นคนพิเศษที่คงไม่เหมาะกับคนทั่วไป และยังต้องการคู่ชีวิตที่เป็นผู้นำเหมือนๆ.. คุณพ่อ” เธอมองหน้าผม ผมยิ้มให้เธอ ผมพูดกับเธอ “มันไม่ได้เกิดจากสิ่งที่ผมบอกคุณ ใช่ไหม?” เธออธิบาย “หนูคิดเองค่ะ และก็เห็นอย่างนี้”

ผมโล่งอก เพราะผู้รักษาควรทำหน้าที่เป็นเพียงกระจกเงาสะท้อนให้เธอมองเห็นตัวตนของเธอเองเท่านั้น ผมอยากให้เธอมองเห็นคุณค่าของตัวเอง ผู้รักษาไม่ใช่เป็นผู้ชี้ทางและประสงค์ให้เธอเดินตามคำแนะนำ อย่างไรก็ตามผมประเมินว่าเธอยังไม่อาจรู้จักตัวเองดีพอและผมก็ไม่ได้ บอกเธอในเรื่องนี้ นั่นก็คือเธอรักตัวเองและแสวงหาความรักอยู่ตลอดเวลา เธอรู้สึกได้ถึงความขาดหายไปของความรัก เธอเต็มไปด้วยความเหงา ความว้าเหว่ เธอต้องการใครสักคนมาเติมเต็มในรูปแบบที่เธอต้องการ และดูแลเอาใจใส่เธอเพียงคนเดียว เหมือนๆ กับคุณพ่อที่ให้ความสำคัญแก่เธอเพียงคนเดียวเท่านั้น

เมื่อเธอเดินออกจากห้องตรวจ ผมเดินตามหลังเธอออกมา คุณแม่ยังสาวของเธอยกมือไหว้ ผมและเข้ามาถามผมถึงอาการของลูกสาว เธอยังเข้าไปโอบกอดลูกสาวเธอราวกับคนที่เธอแสนรักใคร่อย่างยิ่ง มันช่างเป็นภาพที่แตกต่างไปจากสิ่งที่เธอพูดว่าเธอเหินห่างกับแม่และแม่พยายามผลักไสให้เธอไปอยู่กับแฟนของเธอทั้งที่ยังไม่ได้แต่งงานกัน เพียงเพื่อไม่อยากรับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่ายเท่านั้น มันช่างเหมือนกับสิ่งที่ผมคาดคิดไว้แต่แรกจริงๆ เช่นนี้เธอคงผ่านจุดวิกฤตนี้ไปได้โดยไม่ยากเย็นนัก เพราะทุกอย่างอยู่ที่ตัวเธอเพียงคนเดียว

 
Copy All Right Reserved 2013 www.หมอดูสุขภาพจิต.com
เลขที่ 1/26 ถ.สุดบรรทัด13 ต.ปากเพรียว อ.เมือง จ.สระบุรี 18120